สำหรับการทำเกษตรในพื้นที่ขนาดใหญ่มักใช้ระบบการปลูกและดูแลด้วยสา รเ ค มี นอกจากนี้ยังนิยมปลูกพืชระบบเชิงเดี่ยวจึงทำให้เกษตรกรมีความเ สี่ ย งต่อโ ร ค ร ะ บ า ด ขณะที่กำไรส่วนมากมัก ต กอยู่กับร้านจำหน่ายสา รเ ค มีเพื่อการเกษตร แต่วันนี้ร1 ยการตะวันรุ่งจะพาไปพบกับเจ้าของไร่สุมิตธาเกษตรออร์แกนิค ผู้ปลดหนี้กว่า 100 ล้านด้วยการทำเกษตรแบบอินทรีย์
คุณสมนึก ศรีสังข์สุข เจ้าของไร่สุมิตธาเกษตรออร์แกนิค เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาเป็นไร่สุมิตธานั้นตนเองได้ทำสวนส้มมาก่อนซึ่งเน้นการใช้สา รเ ค มีเพื่อดูแลส้ม 700 กว่าไร่ จนกระทั่งปี พ.ศ.2545 ที่เกิดปัญหาโ ร ค ร ะ บ า ดในพื้นที่แถบรังสิตอย่างรุ นแ ร งจนทำให้ตนเองเ สี ยหายเป็นมูลค่า กว่า 100 ล้านบา ท ทำให้เป็นหนี้จำนวนมาก จนถึงขน าดธนาคา รจะเข้ามายึ ดที่ดินและทรัพย์สิ น แต่ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้
หลังจากนั้นจึงมานั่งคิดว่าหากยังทำการเกษตรที่เน้นใช้สา ร เ ค มีอ ย่างเดิมก็อาจเจอปัญหาแบบเดิม ในขณะที่การลุงทุนก็สูงจึงทำให้กำไรส่วนใหญ่เป็นของร้านขายสา ร เ ค มี ทางการเกษตร จากจุดนั้นจึงหันมาทำเกษตรแบบอินทรีย์โดยเริ่มแรกด้วยการทำเกษตรแบบปลอดภัย จนกระทั่งได้ใบรับรองมาตรฐานจึงทำเป็นรูปแบบเกษตรอินทรีย์แบบเต็มตัวเรียกว่าล้มลุกคลุกคลานแต่ก็ผ่านมาได้เป็น 10 ปี โดยมีแนวคิดว่าทำเกษตรก ร ร มต้องไม่เป็น ห นี้ จึงเลือกที่จะขยายพื้นที่เกษตรตามที่มีกำไรเท่านั้น
คุณสมนึก กล่าวต่อไปว่า สำหรับการปลูกพืชในไร่ก็จะเน้นพืชที่ตัวเองและคนส่วนมากชอบกิน เช่น กล้วย มะพร้าว ทุเรียน เงาะ มะม่วง และพืชชนิดอื่นๆ โดยการปลูกส่วนใหญ่จะต้องคอยเช็คราคาในท้องตลาดด้วยว่ามีราคาที่ดีหรือไม่ โดยที่ผ่านมาพบว่าคู่ค้าส่วนใหญ่ให้ผลตอบรับที่ดี อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากนโยบายรัฐบาลที่ให้การช่วยเหลือเกษตรกรที่ทำเกษตรแบบอินทรีย์ สำหรับพืชที่เป็นสินค้าหลักของไร่สุมิตธาจะเป็นประเภทข้าว เช่น ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ โดยมีตลาดรองรับเป็นห้างสรรพสินค้าเดอะมอล์ลและบริษัทอำพลฟู้ดส์ที่จะรับสินค้าไปผลิตเป็นน้ำข้าวกล้อง
“สำหรับการขอมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากกรมวิชาการเกษตรนั้นจะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก แม้กระทั่งแหล่งน้ำก็ต้องเป็นของตัวเองเพื่อป้องกันการปนเปื้อนส าร เ ค มี หรือแม้แต่การทำปุ๋ยคอกเองก็ต้องทำจากมูลสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์ จึงทำให้วัตถุดิบที่นำมาทำปุ๋ยส่วนใหญ่เป็นของที่อยู่ในไร่ตัวเองจึงทำให้ไม่ต้องเ สี ยเ งิ นซื้อ ส่วนการวางผังไร่ก็จะกำหนดให้ไม่ใช่ลักษณะการปลูกพืชเชิงเดี่ยว
แต่เป็นแบบเกษตรผสมผสานในลักษณะแปลงใหญ่ เช่น การปลูกข้าวแปลงใหญ่แล้วมีไร่กล้วยคั่นกลาง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดปัญหาการเกิดโ ร ค ร ะ บ า ดไม่ให้แพร่กระจายจ นทำให้เกิดความเ สี ย หายในวงกว้าง ส่วนการออกแบบพื้นที่ในไร่หากเป็นไร่ผลไม้ก็จะเว้นช่องระหว่างกลางให้มีขนาดใหญ่เพื่อให้สะดวกต่อการขนย้าย ในขณะที่การให้น้ำก็จะเป็นแบบสปริงเกอร์ซึ่งช่วยลดจำนวนแรงงา นได้มาก” เจ้าของไร่สุมิตธาเกษตรออร์แกนิค กล่าว
คุณสมนึก กล่าว ทิ้ งท้า ยว่า ส่วนความช่วยเหลือจากภาครัฐต่อเกษตรกรที่ปลูกพืชด้วยระบบอินทรีย์ก็อยู่ในลักษณะการพาไปออกบู๊ทขายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ดีเพราะทำให้เราเจอลูกค้าโดยตรง ซึ่งเปรียบเสมือนการให้คันเบ็ดไปหาปลา ไม่ใช่รอให้รัฐบาลหาปลามาป้อนเพียงอย่างเดียว เพราะเกษตรกรไม่ได้ต้องการนโยบายประเภทประกันราคา แต่ต้องการให้รัฐบาลหาตลาดเพื่อรองรับสินค้าเกษตรให้เพื่อประคองให้เกษตรกรยืนขึ้นได้ด้วยตัวเอง ซึ่งแนวทางนี้ถือว่าเป็นการช่วยให้เกษตรกรให้อยู่ได้แบบยั่งยืน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.baanrakdin.com/article/13/
เรียบเรียงข้อมูลโดย : เพจเกษตรบ้านทุ่ง