‘นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกเบี้ยว’ ให้สัมภาษณ์กรณีลูกชาย ‘นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือ น้องลูกพีช’ ขับรถเฉี่ยวชนกับรถกระบะบนมอเตอร์เวย์ เป็นเหตุให้คู่กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส
นายกเบี้ยว กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้มีการประสานให้ตนพาลูกชายไปรับทราบข้อกล่าวหา ยืนยันว่าไม่ได้หนี ตนยังคงสับสน เนื่องจากคดีมีอยู่ 2 ที่ อีกที่คือ สภ.ลำลูกกา อย่างไรก็ตาม ตนและลูกชายพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
ส่วนเรื่องสภาพจิตใจ หลังจากที่ตนได้พบกับลูกเมื่อวานนี้ ลูกชายยังคงตื่นตระหนกตกใจ เนื่องจากยังอายุน้อยและอยู่ในช่วงของวัยรุ่น จึงมองว่าตัวเองไม่ผิดและโต้เถียง ตนจึงอธิบายให้ให้ลูกชายเข้าใจว่าเราเป็นคนผิด
โดยคดีแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคุณลุงอาจจะเข้าข่ายมีความผิด และถึงแม้ในส่วนที่ 2 ที่มีภาพปรากฏว่าลูกชายตนขับปาดจนทำให้รถกระบะเสียหลัก ลูกชายตนบอกว่าไม่มีเจตนา แต่สังคมที่ดูคลิปได้ตัดสินไปแล้วว่าลูกชายทำเกินเหตุ ฉะนั้น ตนและลูกชายจึงยอมรับผิดทุกกรณี และขอโทษสังคม ทั้งนี้ ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินและเมตตา หากตัดสินว่าลูกชายผิดก็น้อมรับ
ส่วนเรื่องที่ลูกชายไม่ไปเยี่ยมคุณลุงและคุณป้านั้น หลังจากที่ตนพบลูก ก็มีการติดต่อไปทางลูกชายของคุณลุงและคุณป้า แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงยังไม่กล้าให้ลูกชายไปพบคู่กรณี เนื่องจากกลัวถูกโวยวายทำให้อับอาย แต่เมื่อวานและวันนี้ตนได้เดินทางไปเยี่ยมคู่กรณีแล้ว และได้ขอโทษพร้อมนำกระเช้าไปให้ และแจ้งกับทางคู่กรณีว่าจะพาลูกชายเข้ามากราบขอโทษ ซึ่งทางคู่กรณีก็ยินดีให้มา โดยลูกชายยินดีจะชดใช้ค่ารักษา และค่าซ่อมรถอย่างเต็มที่
ที่ตัดสินใจพาลูกชายมาชี้แจงผ่านรายการในวันนี้ เนื่องจากไม่อยากปล่อยเวลาให้นานกว่านี้ หากสังคมจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ดุลยพินิจของแต่ละคน ยืนยันที่ออกมาชี้แจงในวันนี้ไม่ได้เป็นการฟอกขาว และไม่ได้จะนำมาต่อสู้คดี
รวมถึงไม่มีผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งภาพลูกชายร่วมเฟรมกับอดีตนายกฯ ทักษิณ และนายกฯ แพทองธาร ขณะนั้นนายกฯ แพทองธารยังไม่ได้ดำรงตำแหน่ง เป็นเพียงหัวหน้าพรรคที่มาร่วมงานเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ได้สนิทกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่าเอาท่านมาแปดเปื้อน เพราะท่านเป็นตำรวจน้ำดี
หลังจากดูคลิปการขับรถของลูกชาย ก็มองว่าขับรถหวาดเสียว จึงได้ตักเตือนลูกชายให้ได้สติ ยังเชื่อว่าลูกชายไม่ได้เจตนาที่จะชน จากคำกล่าวอ้างว่าขับรถมือเดียวและเสียหลัก อย่างไรก็ตาม ต่อให้มีหลักฐานว่าลูกชายไม่ผิด ตนเองก็ยังยอมรับผิด
ส่วนเรื่องใบขับขี่ ตนก็เพิ่งทราบในวันนี้ว่าใบขับขี่ลูกชายหมดอายุตั้งแต่ปี 2564 และเรื่องป้ายแดงที่ยังไม่ได้เข้าระบบนั้น ลูกชายได้กล่าวอ้างว่ามีการออกรถมาได้ไม่ถึงปี และจองป้ายทะเบียนเลข 27 ซึ่งเป็นเลขวันเกิดเอาไว้ ส่วนเรื่องกล้องหน้ารถ ตนไม่เคยไปนั่งรถ จึงไม่รู้ว่ามีหรือไม่
เรื่องนี้มีผลกระทบด้านการเมืองหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่าอยู่ที่ประชาชนจะมอง ให้วันที่ 11 พ.ค. นี้ เป็นวันตัดสิน
สำหรับนิสัยของลูกชายนั้น เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยมาก่อน แต่ด้วยระยะหลังที่ห่างกัน จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
ตนไม่ทราบว่าที่ลูกชายกล่าวอ้างว่าเป็นลูกหลานตำรวจนั้นจะมีเจตนาอย่างไร ทั้งนี้ ตนขอโทษสังคมว่าไม่ได้ดูแลลูก อยู่ห่างกับลูก และมัวแต่ยุ่งกับงานจึงทิ้งลูกไว้ถึงเป็นอย่างนี้ หลังจากนี้จะดูแลให้มากขึ้น และขอโอกาสให้ลูกชายได้มีที่ยืนในสังคม เนื่องจากลูกชายยังเป็นวัยรุ่น คนเรามันก็มีผิดพลาดกันได้ ในตอนนี้ก็อยากจะขอโอกาสให้ลูกชายได้กลับตัว
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า ลูกชายมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ นายกเบี้ยว กล่าวว่า “ไม่มี มีดูดบุหรี่ไฟฟ้า” นักข่าวจึงถามต่อว่า “ตอนนี้ก็ยังดูดอยู่หรอ?” นายกเบี้ยวตอบว่า “ดูด เมื่อกี้ก็ขอดูดบุหรี่อยู่ แล้วผมก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน”
ที่มา : ข่าวสด